กรองฝุ่น PM 2.5 ด้วย Air Filter ชนิดใดได้ผลดีที่สุด?

รู้จักกับ Air Filter ชนิดต่างๆเพื่อให้สามารถกรองฝุ่น PM 2.5 ได้อย่างเหมาะสม

กรองฝุ่น PM 2.5 ด้วย Air Filter ชนิดใดได้ผลดีที่สุด?

 

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “ฝุ่น PM 2.5” ได้กลายเป็นหนึ่งในปัญหาสิ่งแวดล้อม และ สุขภาพที่คนไทยให้ความสนใจมากที่สุด ฝุ่นชนิดนี้มีขนาดเล็กมากจนสามารถเล็ดลอดเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ ลึกถึงปอดและ หลอดเลือด ซึ่งอาจก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง และ มะเร็งปอดได้ ทำให้การรับมือกับปัญหาฝุ่น PM 2.5 นอกจากการหลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยงแล้ว การใช้ Air Filter หรือ แผ่นกรองอากาศ ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยลดการสัมผัสฝุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในบ้าน สำนักงาน และโรงงานอุตสาหกรรม แต่คำถามสำคัญคือ “Air Filter แบบไหนกรองฝุ่น PM 2.5 ได้ดีที่สุด?” ดังนั้นบทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจตั้งแต่พื้นฐานของฝุ่น PM 2.5 ประเภทของแผ่นกรองอากาศ วิธีเลือกให้เหมาะสมกับการใช้งาน ตลอดจนเคล็ดลับการดูแลรักษา เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าอากาศที่หายใจเข้าไปนั้นสะอาด และ ปลอดภัยจริง ๆ

รู้จักฝุ่น PM 2.5 คืออะไร และ อันตรายอย่างไร?

ต้องเข้าใจก่อนว่าฝุ่น PM 2.5 ย่อมาจาก Particulate Matter 2.5 Micrometer หมายถึง ฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน หรือ ประมาณ 1 ใน 25 ของเส้นผมมนุษย์ ฝุ่นชนิดนี้เล็กจนสามารถแทรกซึมผ่านเยื่อบุจมูกเข้าสู่ถุงลมในปอด และ บางส่วนสามารถเข้าสู่กระแสเลือดได้

โดยแหล่งกำเนิดของ ฝุ่น PM 2.5 นั้นมาจาก การเผาไหม้เชื้อเพลิง เช่น รถยนต์ดีเซล โรงงานอุตสาหกรรม , การเผาเศษวัสดุทางการเกษตร , ฝุ่นจากการก่อสร้าง , ควันบุหรี่ และ กระบวนการทางธรรมชาติ เช่น ฝุ่นจากทะเลทราย หรือ ภูเขาไฟ เป็นต้น

ซึ่งอันตรายจากฝุ่น PM 2.5 ต่อสุขภาพ นั้นสามารถส่งผลต่อร่างหายส่วนต่างๆ ได้แก่ ระบบทางเดินหายใจอาจก่อให้เกิดอาการไอ หอบ หายใจลำบาก , ระบบหัวใจ และ หลอดเลือดที่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจขาดเลือด , ระบบประสาท โดยการสัมผัสฝุ่น PM 2.5 เป็นเวลานานอาจเพิ่มความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์ และ ในหญิงตั้งครรภ์ และ เด็กๆ จะส่งผลต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์ และ ระบบภูมิคุ้มกันของเด็ก ได้ ดังนั้น การกรองอากาศด้วยแผ่นกรองคุณภาพสูงจึงเป็นแนวทางป้องกันที่มีประสิทธิภาพและ ปลอดภัยที่สุด

ประเภทของ Air Filter ที่ใช้กรองฝุ่น PM 2.5

แผ่นกรองอากาศในตลาดนั้นมีหลายชนิด แต่ละแบบมีคุณสมบัติ และ ประสิทธิภาพแตกต่างกันไป ซึ่งการเลือกใช้ Air Filter ให้เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญมาก

  1. แผ่นกรองหยาบ (Pre-Filter)
    แผ่นกรองหยาบเป็นด่านแรกของระบบกรองอากาศ ที่มีหน้าที่กรองฝุ่นขนาดใหญ่ เช่น ขนสัตว์ เศษฝุ่น หรือ เกสรดอกไม้ ที่มีขนาดการกรอง 10–100 ไมครอน มีข้อดีที่สามารถ ยืดอายุการใช้งานของแผ่นกรองหลักได้ แต่ก็มีข้อเสียที่ไม่สามารถกรอง ฝุ่น PM 2.5 ได้โดยตรง


  2. แผ่นกรองคาร์บอน (Activated Carbon Filter)
    แผ่นกรองคาร์บอนนั้นใช้ดูดซับกลิ่น ควัน และ สารเคมีในอากาศ เช่น ฟอร์มาลดีไฮด์ หรือ ก๊าซพิษ ซึ่งขนาดการกรองจะไม่เน้นฝุ่นละเอียด แต่เน้นกรองสารเคมี ที่มีข้อดีที่ช่วยให้อากาศมีกลิ่นสะอาด สดชื่น แต่ก็มีข้อเสียที่ต้องเปลี่ยนบ่อยๆหากใช้ในพื้นที่ที่มีกลิ่นแรง


  3. แผ่นกรอง HEPA (High Efficiency Particulate Air Filter)
    เป็นแผ่นกรองอากาศที่ออกแบบมาเพื่อดักจับฝุ่นขนาดเล็กระดับไมครอน รวมถึงฝุ่น PM 2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขนาดการกรองสามารถทำได้ถึง 0.3 ไมครอนขึ้นไป มีประสิทธิภาพกรองได้ถึง 99.97% สำหรับอนุภาคขนาด 0.3 ไมครอน ซึ่งมีข้อดีที่ กรองฝุ่น ละอองเกสร แบคทีเรีย และ ไวรัสบางชนิดได้ แต่ก็มีข้อเสียที่มี ราคาสูง และ ต้องเปลี่ยนตามระยะเวลาที่กำหนด


  4. แผ่นกรองไฟฟ้าสถิต (Electrostatic Filter)
    แผ่นกรองไฟฟ้าสถิต จะทำงานด้วยหลักการชาร์จประจุไฟฟ้าให้กับอนุภาคฝุ่น เพื่อดักจับฝุ่นให้ติดกับแผ่นกรอง มีข้อดีที่ทำความสะอาดได้ง่าย และ ใช้ซ้ำได้ แต่ก็มีข้อเสียที่มีประสิทธิภาพลดลงเมื่อมีความชื้นสูง เมื่อใช้นานไปประสิทธิภาพจะลดต่ำลงและแรงดึงดูดควันระบบไฟฟ้า จะต่ำลงเมื่อมีฝุ่นเกาะเพิ่มขึ้น


  5. แผ่นกรองไอออน หรือ แผ่นกรองไฟฟ้าแรงสูง (Ionizer Filter)
    แผ่นกรองอากาศแบบนี้นั้นจะปล่อยไอออนประจุลบเพื่อจับกับฝุ่นในอากาศ ทำให้ฝุ่นตกลงพื้น ซึ่งมีข้อดีที่ช่วยลดฝุ่นลอยในอากาศได้ดี และ มีข้อเสียที่อาจก่อให้เกิดโอโซน หากออกแบบไม่ได้มาตรฐาน และที่สำคัญระบบนี้ใช้ได้กับพื้นที่เล็กๆ ถ้าพื้นที่กว้างๆ ประสิทธิภาพจะลดต่ำลง

แผ่นกรอง HEPA: ตัวจริงเรื่องการกรองฝุ่น PM 2.5

จากการทดสอบของหลายๆสถาบันทั้งใน และ ต่างประเทศ พบว่า HEPA Filter เป็นเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการกรองฝุ่น PM 2.5 โดยหลักการทำงานของ HEPA Filter นั้นเป็นแผ่นกรอง HEPA ที่ทำจากเส้นใยละเอียดซ้อนกันเป็นชั้น ๆ โดยอาศัยกลไก 3 อย่างร่วมกัน คือ

  1. Interception – อนุภาคที่มีขนาดใหญ่จะถูกดักจับเมื่อสัมผัสเส้นใย
  2. Impaction – อนุภาคที่เคลื่อนที่เร็วชนกับเส้นใย และ ติดอยู่
  3. Diffusion – อนุภาคขนาดเล็กมาก (เช่น PM 2.5) จะเคลื่อนไหวแบบสุ่ม และ ติดอยู่ในเส้นใย

โดยมาตรฐานของ HEPA Filter นั้นมีหลายระดับ เช่น

  • H10 – H11: กรองได้ 85–95%
  • H12 – H13: กรองได้ 99.5–99.95%
  • H14: กรองได้สูงสุดถึง 99.995% (ระดับห้องปลอดเชื้อ)

สำหรับการใช้งานทั่วไปในบ้าน หรือ สำนักงาน แนะนำ ให้ใช้ ระดับ H13 ซึ่งให้ประสิทธิภาพสูงโดยไม่เปลืองพลังงานเกินไป

วิธีเลือก Air Filter ให้เหมาะกับการใช้งาน

  1. พิจารณาขนาดพื้นที่
    หากเป็นบ้าน หรือ คอนโดควรเลือกเครื่องกรองอากาศที่มีอัตราการหมุนเวียนอากาศ (CADR) ที่เหมาะสมกับขนาดห้อง เช่น ห้อง 20 ตร.ม. ควรใช้ CADR 150–200 m³/h , ห้อง 30 ตร.ม. ขึ้นไป ควรใช้ CADR 250–350 m³/h


  2. ตรวจสอบระดับการกรอง (Filter Grade)

    โดยเลือกแผ่นกรองอากาศที่ผ่านมาตรฐาน HEPA H13 ขึ้นไป หรือ มีการรับรองจาก EN1822 / ISO 29463
  3. ใช้แผ่นกรองร่วมกันหลายชนิดระบบกรองอากาศที่ดีควรมีทั้ง Pre-Filter สำหรับดักฝุ่นหยาบ , HEPA Filter สำหรับฝุ่น PM 2.5 หรือฝุ่น PM 0.3 และ Carbon Filter สำหรับดูดซับกลิ่น

  4. ความคุ้มค่า และ ค่าเปลี่ยนแผ่นกรอง
    ในบางรุ่นของแผ่นกรองอากาศนั้นมีค่าแผ่นกรองสูงเกินไป ซึ่งควรพิจารณาความถี่ในการเปลี่ยน และราคาเฉลี่ยต่อปีของการใช้งาน

จะเห็นได้ว่าจากการวิเคราะห์ และ เปรียบเทียบ Air Filter ทุกประเภท พบว่า HEPA Filter ระดับ H13 ขึ้นไป คือ ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการกรองฝุ่น PM 2.5 เพราะมีประสิทธิภาพสูงถึง 99.97% ที่ฝุ่นขนาด 0.3 µm และปลอดภัยต่อสุขภาพ แต่เพื่อให้ได้ผลสูงสุด ควรใช้ร่วมกับระบบกรองหลายชั้น และ ดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้ การเลือกเครื่องกรองที่ได้มาตรฐาน และ เหมาะกับขนาดพื้นที่ จะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่า “อากาศที่หายใจทุกวัน สะอาด ปลอดภัย และ คุ้มค่าทุกการลงทุน” ดังนั้นหาดสนใจ Air Filter ที่ได้มาตรฐานเราขอแนะนำ JAF เป็นผู้ให้บริการชั้นนำด้านผลิตภัณฑ์ Air Filter และ เครื่องฟอกอากาศ ซึ่งสามารถกรองมลพิษทางอากาศได้อย่างเต็มที่อีกทั้งยังช่วย การควบคุมมลพิษทางอากาศที่ครอบคลุมทั้งโรงงาน โดยทีมงานมืออาชีพที่มีประสบการณ์มากว่า 20 ปี เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ให้ได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์การใช้งาน และ แก้ปัญหาลูกค้าให้หมดไป อีกทั้งยังมีบริการให้คำปรึกษาทั้งก่อน และ บริการหลังการขายที่ดีอีกด้วย

สนใจติดต่อสอบถาม 
บริษัท เจแปน แอร์ฟิลเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด

ที่อยู่ 499/26 หมู่ที่ 13 ตำบลราชาเทวะ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ 10540
TEL:02-186-8942-3, 096-801-2236
Email : sales@jafthailand.com